ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับทุกๆคน

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

ความซื่อสัตย์

        หนังสือ รีดเดอร์ ไดเจสท์ ฉบับล่าสุด เขามีความคิดแปลกแหวกแนวในการ “ทดลองวัดความซื่อสัตย์” ของประชาชนใน 32 เมืองใหญ่ ทั่วโลก โดยการนำเอาโทรศัพท์มือถือ 30 เครื่อง ไปวางทิ้งไว้ตามสถานที่ชุมชนต่างๆในเมืองแล้วทดสอบดูว่า มีคนเมืองไหนที่ซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์คืนให้เจ้าของมากที่สุด

ผลการทดสอบที่ออกมาเหลือเชื่อ

ประเทศที่เคยมีผู้สำรวจว่า มีความซื่อสัตย์สุจริตติดอันดับต้นๆของโลก เพราะมีการทุจริตคอรัปชันน้อย อย่างเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ปรากฏว่าความซื่อสัตย์ของคนในเมืองเหล่านี้ แพ้คนไทยหลุดลุ่ย

ความซื่อสัตย์ของคนไทยอยู่ในอันดับที่ 14 ร่วมกับ บราซิล ฝรั่งเศส เยอรมนี โทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ในศูนย์การค้า สวนสาธารณะ ย่านธุรกิจทั่วกรุงเทพฯ 30 เครื่อง มีผู้นำไปคืนมากถึง 21 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 70

รีดเดอร์ ไดเจสท์ ได้สัมภาษณ์คนไทยผู้ซื่อสัตย์ ที่นำโทรศัพท์มือถือคืนเจ้าของสิบกว่าคน

พนักงานขับรถไฟฟ้าบีทีเอส   บอกว่า ผมทำงานที่รถไฟฟ้าบีทีเอส ทำ ให้เจอพลเมืองดีนำโทรศัพท์มือถือมาคืนเยอะมาก ผมไม่เคยทำมือถือหาย แต่ตระหนักดีว่าเจ้าของต้องเดือดร้อนแน่ เพราะเบอร์ติดต่อหายหมด

นักเรียนวัย 14      อีกคนบอกว่า หนูเคยทำมือถือหายสองครั้ง ไม่ได้คืนทั้งสองครั้ง เสียใจ เสียความรู้สึก เดือดร้อนที่หมายเลขโทรศัพท์เพื่อนๆหายหมด จึงอยากคืนให้เจ้าของ ไม่สนใจว่าราคาถูกหรือแพง

แต่สิงคโปร์ ประเทศที่ฝรั่งยกย่องว่าคอรัปชันน้อยที่สุดในภูมิภาคนี้ คนสิงคโปร์กลับซื่อสัตย์น้อยมากนำโทรศัพท์ที่เก็บได้คืนเจ้าของแค่ร้อยละ 53 เท่านั้นเอง สอบผ่านอย่างเฉียดฉิว

ส่วน คนฮ่องกง และ มาเลเซีย รั้งตำแหน่ง “บ๊วย” ด้วยกันทั้งคู่ สอบตกเรื่องความซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์ไปคืนต่ำที่สุดในภูมิภาค แค่ร้อยละ 43 เท่านั้นเอง


เมืองที่ประชาชนมีความซื่อสัตย์ที่สุดในโลก ตกเป็นของประเทศเกิดใหม่ กรุงลูบลิยานา แห่งสโลวีเนีย
โทรศัพท์มือถือที่วางล่อไว้ 30 เครื่อง ได้รับคืน 29 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 97 หายไปแค่ 1 เครื่องเท่านั้นเอง ชาวเมืองทุกคนล้วนมีน้ำใจเอื้ออารี

อันดับ 2 เป็นชาวเมืองโตรอนโต ประเทศแคนาดา ได้รับโทรศัพท์ คืน 28 เครื่อง จาก 30 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 93 เหตุผลที่ชาวโตรอนโตบอกกับผู้ทดลองก็คือ “ถ้าเราพอจะช่วยใครสักคนได้ ทำไมจะไม่ช่วยเล่า” น้ำใจอย่างนี้น่านับถือจริงๆ

อันดับ 3 เป็นกรุงโซล ของเกาหลีใต้ ได้คะแนนสูงถึงร้อยละ 90

กรุงสตอกโฮล์ม ของสวีเดน แม้ความซื่อสัตย์จะมาเป็นอันดับที่ 4   แต่คำตอบของชาวสวีเดนน่าประทับใจเหลือเกิน “การทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานประจำวัน” คำตอบนี้เป็นสิ่งที่ผมพยายามทำอยู่ตลอดเวลา ในฐานะสื่อมวลชน เพื่อให้ คุณภาพสังคมไทยดีขึ้น

อยากให้คนไทยคิดอย่างนี้เหมือนคนสวีเดน ทำสิ่งที่ถูกต้องให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ประเทศไทยจะเป็นสวรรค์บนดินไปทันที สังคมไทยจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่แตกแยกร้าวฉานเป็นหลายฝ่ายเหมือนในปัจจุบันนี้.

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระเวสสันดร ม.4/4 กลุ่ม4

พระเวสสันดร

        ปฐมเหตุ         หลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์  ทำให้พระประยูรญาติละทิฐิยอมถวายบังคม   ก็บังเกิดฝนโบกขรพรรษพระภิกษุทั้งหลายจึงได้ทูลถามพระพุทธเจ้า  พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่า  ฝนชนิดนี้เคยตกมาแล้วในอดีต  พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่อง  มหาเวสสันดรชาดกหรือเรื่องมหาชาติ   ทั้ง  ๑๓  กัณฑ์  ตามลำดับดังนี้  กัณฑ์ทศพร  กัณฑ์หิมพานต์   กัณฑ์ทานกัณฑ์  กัณฑ์วนปเวสน์  กัณฑ์ชูชก  กัณฑ์จุลพน  กัณฑ์มหาพน  กัณฑ์กุมาร  กัณฑ์มัทรี  กัณฑ์สักกบรรพ  กัณฑ์มหาราช   กัณฑ์ฉกษัตริย์  และกัณฑ์นครกัณฑ์
        กัณฑ์ที่    ทศพร  มี  ๑๙ พระคาถา
           กล่าวถึงปฐมเหตุที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาเล่าเรื่องมหาเวสสันดรชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย 
  นิโครธารามมหาวิหาร   โดยเริ่มเรื่องจากการกำเนิดพระนางผุสดีผู้ถวายแก่นจันทร์บดแด่พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง  และตั้งจิตปรารถนาว่า  ขอให้ได้เป็นพระพุทธมารดาในอนาคต  เมื่อได้บังเกิดในสวรรค์ได้เป็นมเหสีของพระอินทร์  ในกัณฑ์นี้กล่าวถึงพระนางผุสดีจะต้องจุติจากสวรรค์พระอินทร์จึงประทานพร  ๑๐  ประการให้พระนางผุสดี  ได้แก่  ๑.  ขอให้เกิดในกรุงมัทราช  แคว้นสีพี  ๒.  ขอให้มีดวงเนตรคมงามและดำขลับดั่งลูกเนื้อทราย  ๓.  ขอให้คิ้วคมขำดั่งสร้อยคอนกยูง   ๔. ขอให้ได้นาม “ ผุสดี ”  ดังภพเดิม  
๕.  ขอให้มีพระโอรสเกริกเกรติที่สุดในชมพูทวีป   ๖.  ขอให้พระครรภ์งาม  ไม่ป่องนูนดั่งสตรีสามัญ   
๗.  ขอให้พระถันเปล่งปลั่งงดงามไม่ยานคล้อยลง  ๘.  ขอให้เส้นพระเกศาดำขลับตลอดชาติ  ๙.  ขอให้ผิวพรรณละเอียดบริสุทธิ์ดุจทองคำธรรมชาติ   ๑๐.  ขอให้ได้ปลดปล่อยนักโทษที่ต้องอาญาประหารได้
        กัณฑ์ที่  ๒ หิมพานต์  มี  ๑๓๔  พระคาถา
          กล่าวถึงพระนางผุสดีซึ่งจุติจากสวรรค์ลงมาประสูติเป็นพระธิด่กษิตริย์มัทราช  และได้เป็นพระมเหสีพระเจ้ากรุงสญชัยแห่งแคว้นสีพี  พระนางผุสดีได้ประสูติพระเวสสันดรในขณะประพาสชมพระนคร  และขณะนั้นนางช้างฉัททันต์ก็ได้นำลูกช้างเผือกมาไว้ในโรงช้างต้น  ต่อมาลูกช้างเผือกตัวนั้นได้ชื่อว่า 
“ ปัจจัยนาเคนทร์ ”  มีคุณวิเศษ  คือ  ทำให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล  พระเวสสันดรใฝ่ใจในการบริจาคทาน  เมื่อได้เสวยราชสมบัติและอภิเษกกับพระนางมัทรีแล้ว ได้ตั้งโรงทานถึง    แห่ง  และเมื่อพระราชทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้กับชาวเมืองกลิงคราษฎร์  ซึ่งเป็นเมืองที่แห้งแล้ง  ข้าวยากหมากแพงมาหลายปี  ทำให้ชาวเมืองสีพีโกรธและเรียกร้องให้พระเจ้ากรุงสญชัยทรงลงโทษพระเวสสันดรพระเจ้ากรุงสญชัยจึงทรงเนรเทศพระเวสสันดรไปจากเมือง
       กัณฑ์ที่  ๓ ทานกัณฑ์ มี  ๒๐๘  พระคาถา
          เมื่อพระนางผุสดีทรงทราบว่าพระเวสสันดรถูกเนรเทศ  พระนางได้ทูลขอโทษ  แต่พระเจ้ากรุงสญชัยมิได้ตรัสตอบ  พระนางจึงเสด็จไปที่พระตำหนักพระเวสสันดรและทรงรำพันต่าง ๆ นานา
          รุ่งขึ้นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญสัตตสดกมหาทาน  แล้วจึงพาพระนางมัทรีและสองกุมารเข้าไปทูลลาพระเจ้ากรุงสญชัย  พระเจ้ากรุงสญชัยทรงห้ามพระนางมัทรีมิให้ติดตามไปด้วย  เพราะจะได้รับความลำบากในป่า  แต่พระนางมัทรีก็ทูลถึงเหตุผลอันเหมาะสมที่พระนางจะต้องตามเสด็จพระเวสสันดรในครั้งนี้  พระเจ้ากรุงสญชัยจึงขอสองกุมารให้อยู่กับพระองค์  แต่พระนางมัทรีก็ไม่ยินยอม  จากนั้นทั้งสี่พระองค์ก็เสด็จไปทูลลาพระนางผุสดี  รุ่งขึ้นพระเวสสันดรให้พนักงานเบิกแก้วแหวนเงินทองบรรทุกรถเสด็จออกจากเมือง  ทรงโปรยแก้วแหวนเงินทองเหล่านั้นเป็นทานแก่ยาจกโดยทั่วหน้า  แล้วจึงตรัสสั่งให้เสนาอำมาตย์กลับคืนมายังเมือง  ส่วนพระองค์พร้อมทั้งพระนางมัทรีและกัณหาชาลีก็มุ่งสู่ป่า  มีพราหมณ์มาทูลขอรถทรงและม้าทรง  พระองค์ก็ทรงบริจาคให้จนหมดสิ้น  พระเวสสันดรจึงอุ้มพระชาลีและพระนางมัทรีอุ้มพระกัณหาเสด็จพระดำเนินต่อไปด้วยพระบาท
        กัณฑ์ที่  ๔ วนปเวสน์  มี  ๕๗ พระคาถา
             กล่าถึงการเดินทางของพระเวสสันดรไปยังเขาวงกต  ซึ่งมีพระนางมัทรีและชาลีกัณหาอันเป็นพระโอรสและพระธิดาตามเสด็จด้วย  ได้พบกับเจ้าเมืองเจตราษฎ์  เจ้าเมืองเจตราษฎ์มอบพรานเจตบุตรเป็นผู้ดูแลมิให้ใครเดินทางไปรบกวนพระเวสสันดรในเขาวงกต
       กัณฑ์ที่    ชูชก  มี  ๗๙  พระคาถา
           กล่าวถึงพราหมณืผู้หนึ่งชื่อว่า ชูชก  เป็นคนเข็ญใจไร้ญาติเที่ยวเร่ร่อนขอทาน  จนกระทั่งถึงแก่ชราจึงรวบรวมเงินได้ถึงร้อยยกษาปณ์  เห็นว่าถ้าเก็บไว้กัยตัวก็จะป็นอันตราย  จึงนำไปฝากกับเพื่อนคนหนึ่งแล้วก็เที่ยวขอทานต่อไป  เวลาล่วงเลยมาหลายปี  เพื่อนผู้รับฝากเงินไว้เห็นว่าชูชกไม่กลับมาคงจะล้มตายไปแล้ว  จึงได้นำเงินที่ชูชกฝากไว้ไปจับจ่ายจนหมดสิ้น  เมื่อชูชกกลับมาเพื่อนคนนั้นไม่มีเงินให้จึงต้องยกลูกสาวชื่อนางอมตตดาให้เป็นภรรยาชูชก  นางอมิตตดาปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ของภรรยาที่ดีทุกอย่าง  จนทำให้พราหมณ์อื่น ๆ ในหมู่บ้านนั้นตบตีดุด่าภรรยาของตนให้ประพฤติตามอย่างนางอมิตตดา  บรรดาภรรยาทั้งหลายต่างก็โกรธเคืองหาว่านางอมิตตดาเป็นต้นเหตุ  จึงพากันไปเยาะเย้ยถากถางนางอมิตตดาขณะที่นางลงไปตักน้ำที่ท่าน้ำทำให้นางอมิตตดารู้สึกอับอาย  จึงกลับมาบอกกับชูชกว่าต่อไปนี้นางจะไม่ทำงานอะไรอีก  ชูชกจะต้องไปหาข้าทาสมาให้นาง  มิฉะนั้นนางจะไม่อยู่ด้วย  เทพเจ้าได้เข้าดลใจนางให้แนะชูชกไปขอพระกัณหาชาลีมาเป็ฯทาส  ชูชกจำใจต้องไป  ก่อนออกเดินททางชูชกก็จัดการซ่อมแซมบ้านให้แข็งแรง  และให้โอวาทนางอมิตตดา  ส่วนนางก็จัดเสบียงที่จะเดินทางไว้พร้อม  ๙ชกแปลงเพศเป็นชีปะขาว  แล้วก็ออกเดินทาง  พบกับผู้คนที่ไหรก็สอบถามเรื่องพรเวสสันดรเรื่อยไป  พวกชาวเมืองโกรธคิดว่าชูชกจะต้องไปขออะไรจากพระเวสสันดรอีก  จึงช่วยกันทำร้ายชูชกจนต้องหนีกระเจิดกระเจิงเข้าป่าไป  เทวดาดลใจให้ชูชกเดินทางไปพบกับพราหมณ์เจตบุตรที่กษัตริย์เจตราษฎ์มอบหมายให้คอยดูแลมิให้ใครไปรบกวนพระเวสสันดร  ชูชกหลอกพรานเจตบุตรว่าบัดนี้พระชาชนชาวเมืองสีพีหายโกรธเคืองพระเวสสันดรแล้ว  พระเจ้าสญชัยใช้ให้เป็นทูตถือพระราชสาส์นไปเชิญเสด็จพระเวสสันดรกลับพระนคร  พรานเจตบุตรหลงเชื่อจึงบอกเส้นทางที่จะเข้าสู่เขาวงกตแก่ชูชก
        กัณฑ์ที่  ๖ จุลพน  มี  ๓๘  พระคาถา
          พรานเจตบุตรหลงกลชูชก ที่ไดชูกลักพริกขิงให้พรานดู    อ้างว่าเป็นพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสญชัยจะนำไปถวายพระเวสสันดร  พรานเจตบุตรจึงได้ต้อนรับและเลี้ยงดูชูชกเป็นอย่างดีและได้พาไปยังต้นทางที่จะไปอาศรมฤๅษี
        กัณฑ์ที่    มหาพน  มี  ๘๐  พระคาถา
           ชูชกเดินทางไปถึงอาศรมของพระอัจจุตฤๅษี  แล้วหลอกลวงพระฤๅษีว่า  ตนเคยคบหากับพระเวสสันดรมาก่อน  เมื่อพระองค์จากมานานจึงใคร่จะเยี่ยมเยียน  พระฤาษีหลงเชื่อจึงให้ชูชกพักแรมที่อาศรมหนึ่งคืน  รุ่งขึ้นก็อธิบายหนทางที่จะเดินทางว่า  จะต้องผ่านภูเขาคันธมาทน์และสระมุจลินท์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ  กับพระอาศรมของพระเวสสันดร  ๙ชกจึงลาพระฤาษีเดินทางต่อไป
       

        กัณฑ์ที่    กุมาร  มี  ๑๐๑  พระคาถา
          ชูชกเข้าไปขอสองกุมาร  พระเวสสันดรพระราชทานให้  สองกุมารรู้ความจึงหนีไปอยู่ในสระบัว  พระเวสสันดรตามไปพูดจาให้สองกุมารเข้าใจ  สองกุมารจึงขึ้นจากสระบัว  ชูชกพาสองกุมารเดินทางโดยเร่งรีบด้วยเกรงว่า  หากพระนางมัทรีกลับจากหาผลไม้ก่อนจะเสียการ
        กัณฑ์ที่    มัทรี  มี  ๙๐ พระคาถา
          เมื่อชูชกพาสองกุมารออกไปพ้นพระอาศรมแล้ว  เทพทั้งปวงก็วิตกว่า  ถ้าพระนางมัทรีกลับมาแต่ยังวันก็จะรีบติดตามหาสองกุมารเป็นแน่  พระอินทร์จึงมีเทวบัญชาให้เทพสามองค์จำแลงเป็นเสือและราชสีห์ไปขว้างทางเดินของพระนางมัทรีไว้  ส่วนพระนางมัทรีรู้สึกเป็นทุกข์ถึงสองกุมารเป็นอันมาก  เก็บผลไม้ตามแต่จะได้แล้วก็รีบกลับพระอาศรม  มาพบสัตว์ทั้งสามขวางหน้าอยู่ก็วิงวอนขอทาง  จนพลบค่ำสัตว์ทั้งสามจึงหลบทางให้  เมื่อมาถึงพระอาศรม  พระนางมองหาสองกุมาร  แต่ไม่พบ  จึงไปถามพระเวสสันดร  พระเวสสันดรเกรงว่าถ้าบอกไป  พระนางมัทรีจะโศกเศร้ามากยิ่งขึ้นไปอีก  จึงแสร้งพูดแสดงความหึงหวงขึ้นเป็นทำนองระแวงที่นางกลับมาจนมืดค่ำ  พระนางมัทรีเจ็บใจก็คลายความโศกลง  เที่ยวตามหาสองกุมารไปทุกหนทุกแห่ง  แต่ไม่พบจึงกลับมายังพระอาศรมของพระเวสสันดร  แล้วสลบไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นแรง  เมื่อพระเวสสันดรแก้ไขจนพระนางฟื้น  พระเวสสันดรจึงเล่าให้ฟังว่าได้บริจาคบุตรเป็นทานแก่พราหมณ์เฒ่าไปแล้ว  พระนางมัทรีก็มิได้เศร้าโศก  แต่กลับชื่นชมกับมหาบริจาคทานของพระเวสสันดรด้วยศรัทธาอันเปี่ยมล้น
        กัณฑ์ที่  ๑๐  สักกบรรพ  มี  ๔๓  พระคาถา
           พระอินทร์เกรงว่าหากมีใครมาขอพระนางมัทรีจากพระเวสสันดร  ก็จะทำให้พระเวสสันดรบำเพ็ญภาวนาไม่สะดวก  ด้วยไม่มีผู้คอยปนนิบัติ  ดังนั้พระอินทร์จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่าลงมาขอและได้ให้พรแปดประการแก่พระเวสสันดร  รวมทั้งยังฝากฝังพระนางมัทรีไว้ให้อยู่ปรนนิบัติพระเวสสันดรด้วย
       


        กัณฑ์ที่  ๑๑  มหาราช  มี  ๖๘  พระคาถา
           เมื่อเดินทางผ่านป่าใหญ่   ชูชกผูกสองกุมารไว้ที่โคนต้นไม้   ส่วนตนปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้  เหล่าเทพเทวดาจึงแปลงกายลงมาปกป้องสองกุมารให้เดินทางถึงกรึงสีพีโดยปลอดภัย     ขณะเดียวกันพระเจ้ากรุงสีพีเกิดนิมิตฝัน  ซึ่งตามคำทำนายนั้นนำมายังความปิติปราโมทย์แก่พระองค์ยิ่งนัก
            เมื่อเสด็จลงหน้าลานหลวงตอนรุ่งเช้า  พระเจ้ากรุงสีพีก็ทอดพระเนตรเห็นชูชกและกุมารทั้งสองพระองค์  ครั้นทรงทราบความจริง  พระองค์จึงทรงพระราชทานค่าไถ่คืน   หลังจากนั้นชูชกก็ถึงแก่ความตายเพราะกินอาหารมากเกินขนาด  แล้วพระชาลีก็ทูลพระเจ้ากรุงสีพีเพื่อขอให้ไปรับพระบิดาและพระมารดาให้นิวัติคืนพระนคร  ในขณะเดียวกันเจ้านครกลิงราษฎร์ได้คืนช้างปัจจัยนาเคนทร์แก่นครสีพี
        กัณฑ์ที่  ๑๒  ฉกษัตริย์  มี  ๓๖  พระคาถา
           พระเจ้ากรุงสญชัยยกทัพไปรับพระเวสสันดร  โดยใช้เวลา    เดือน กับ  ๒๓  วัน  จึงเดินทางถึงเขาวงกต  เสียงโห่ร้องของทหารทั้งสี่เหล่าทำให้พระเวสสันดรทรงคิดว่าเป็นข้าศึกมาโจมตีนครสีพีจึงชวนพระนางมัทรีขึ้นไปแอบดูที่ยอดเขา  พระนางมัทรีทรงมองเห็นกองทัพพระราชบิดาจึงได้ตรัสทูลพระเวสสันดร  แต่เมื่อทั้งหกกษัตริย์ได้พบกัน  ทรงกันแสงสุดประมาณ  รวมทั้งทหารเหล่าทัพำให้ป่าใหญ่สนันครั่นครืน  พระอินทร์จึงได้ทรงบันดาลให้ฝนโบกขรพรรษตกลงมา
        กัณฑ์ที่  ๑๓  นครกัณฑ์  มี ๔๘  พระคาถา
          กษัตริย์ทั้งหกยกพลกลับคืนพระนคร  หลังจากที่พระเจ้ากรุงสญชัยตรัสสารภาพผิด  พระเวสสันดรจึงทรงลาผนวชพร้อมทั้งพระนางมัทรี  เมื่อเสด็จถึงนครสีพีจึงรับสั่งให้ชาวเมืองปล่อยสัตว์ที่กักขัง  ครั้นยามราตรีพระเวสสันดรทรงปริวิตว่า  รุ่งเช้าประชาชนจะแตกตื่นมารับบริจาคทาน  พระองค์จะประทานสิ่งใดให้แก่ประชาชน  ท้าวโกสีย์ได้ทราบจึงบันดาลให้มีฝนแก้ว    ประการ  ตกลงมาในนครสีพีสูงถึงหน้าแข้ง  พระเวสสันดรจึงทรงประกาศให้ประชาชนมาขนเอาไปตามปรารถนา  ที่เหลือให้ขนเข้าพระคลังหลวง
           ในกาลต่อมาพระเวสสันดรเถลิงราชสมบัติปกครองนครสีพีโดยทศพิธราชธรรม  บ้านเมืองร่อเย็นเป็นสุขตลอดตามชนมายุ